![]() |
![]() |
![]() |
#31 |
Join Date: Oct 2012
Location: Hometown : Sukhothai Family Home : Korat
Posts: 1,145
Thanks: 4,389
Thanked 774 Times in 422 Posts
|
![]()
ขอบพระคุณสำหรับข้อมูลดีๆ การ DIY เปลี่ยนตลับลูกปืน ทั้งนี้ เพื่อประกอบการตัดสินใจของเพื่อนๆ สมช.ว่าควรเลือกวิธีซื้อลูกรอกใหม่ทั้งชุด หรือเลือกวิธีเปลี่ยนเฉพาะลูกปืนที่เราย่อมมั่นใจในแ บรนด์ลูกปืนดี
จึงใคร่ขอทราบข้อมูลค่าใช้จ่าย ได้แก่ ค่าตลับลูกปืน + ค่าบริการอัดลูกปืนเก่าออกและอัดลูกปืนใหม่เข้า ด้วยครับ |
![]() |
![]() |
![]() |
#32 |
Join Date: Sep 2010
Posts: 1,112
Thanks: 2,218
Thanked 1,183 Times in 533 Posts
|
![]()
ตลับลูกปืน SKF3202 A-2ZTN9/MT33 ซื้อเมื่อปีที่แล้ว ราคาลดแล้วเหลือแปดร้อยกว่าบาท
ค่าอัดลูกปืนฟรี คือเพื่อนอัดให้ฟรี เดิมตั้งใจจะมาเปลี่ยนพร้อมกับโช๊คดันสายพานที่ดัง ณ.ตอนนั้น ลองหมุนลูกรอกยังดีอยู่ แน่น ไม่มีสดุด ไม่มีเสียง คิดว่าจะใช้ได้อีกนาน ใช้ต่อมาได้เกิน 1 ปี กับอีกไม่กี่วัน ลูกปืนก็ดัง ฝาปิดหลุด ลูกปืนแถวหน้าหลุดหาย ดีแต่ว่าลูกปืนแถวสองยังอยู่ แต่จารบีแห้งหมดแล้ว ถึงขั้นนี้ขับเร็วยังกลัวมันจะหลุด รีบไปอู่ให้เขาจัดการให้ ซื้อลูกรอกสายพาน มีลูกปืนใส่มาเรียบร้อย แถวหลังวัดโสม ราคาแปดร้อยกว่าบาท ถูกกว่าตลับลูกปืนข้างบนอีก แต่คุณภาพต้องรอพิสูจน์ครับ |
![]() |
![]() |
คำขอบคุณจาก : |
![]() |
#33 |
Join Date: Mar 2009
Posts: 4,353
Thanks: 3,597
Thanked 9,347 Times in 2,658 Posts
|
![]()
http://www.benzowner.net/forum/showthread.php?t=18979
ขออนุญาตคุยเรื่องการเปลี่ยนตลับลูกปืนลูกรอก ตัวปรับสายพานหน่อยนะครับ ผมเปลี่ยนตลับลูกปืนลูกรอก KOYO เบอร์ 5202zz ตลับลูกปืน KOYO Made in Japan 295.-บาท มาตั้งแต่ เดือน 3/2555นับเวลาถึงตอนนี้ก็ 5 ปีเศษแล้วก็ยังใช้ได้เป็นปกติ อยู่นะครับ แต่ผมได้ ถอดออกมาใส่จาระบีของเบนซ์ 2 - 3 หนแล้วครับ แต่รถผมเอาเป็นมาตรฐานไม่ได้ เนื่องจากใช้งานจริงเป็น กม. น้อยกว่าคนอื่นครับ ปีละไม่ถึง 10,000.- กม.ครับ |
![]() |
![]() |
![]() |
#34 |
Join Date: Mar 2009
Posts: 4,353
Thanks: 3,597
Thanked 9,347 Times in 2,658 Posts
|
![]()
http://www.benzowner.net/forum/showthread.php?t=49616
ผมเคยถ่ายรูปเอาเรื่องวิธีการเปลี่ยนลูกปืนลูกรอกสาย พาน มาลงไว้ตอนที่ผมเปลี่ยนเมื่อ 5 ปีที่แล้ว แต่รูปภาพประกอบ มันหายไปหมดแล้วครับ |
![]() |
![]() |
![]() |
#35 |
Join Date: Sep 2010
Posts: 1,112
Thanks: 2,218
Thanked 1,183 Times in 533 Posts
|
![]()
ผมใช้ข้อมูลของพี่ coffee cup เรื่องตลับลูกปืน และการเปลี่ยนนี่ละครับ
ท่านอื่นลองใช้ Koyo ก็เป็นทางเลือกที่ไม่แพงครับ |
![]() |
![]() |
คำขอบคุณจาก : |
![]() |
#36 |
Join Date: Sep 2010
Posts: 1,112
Thanks: 2,218
Thanked 1,183 Times in 533 Posts
|
![]()
เมื่อหลายวันก่อน สตาร์ทเครื่องตอนเช้าครั้งแรก รอบเครื่องยนต์ค้างอยู่ที่พันกว่ารอบ
หลังจากผ่านไปนาทีกว่า รอบก็ไม่ลงค้างที่เดิม ปกติรอบควรลงมาที่ประมาณ 750 rpm ต้องย้ำคันเร่งช่วยสองสามครั้ง รอบจึงลงมาเป็นปกติ ก่อนหน้านี้มีอาการขณะเครื่องยนต์เดินเบา สะดุดเล็กน้อยบางจังหวะ ขณะรถจอดรอติดสัญญาณไฟแดง แต่อาการนี้ไม่ได้เป็นทุกครั้ง เช็คจากบันทึก เปลี่ยนหัวเทียนครั้งสุดท้าย ได้ผ่านการใช้งานมาแล้ว 45,0xx ก.ม. มีเวลาจึงเปลี่ยนหัวเทียน และทำความสะอาดอุปกรณ์ที่เกี่ยวเนื่อง ลำดับการถอดชิ้นส่วนเริ่มจากถอดสายสัญญาณ Air Mass, กรองอากาศ, Air Mass, ท่อข้ามเครื่อง, Air Temp. Sensor, ฝาครอบหัวเทียน ......... ![]() 1.ถอดสาย Air Mass Sensor ![]() 2.ถอดฝาครอบกรองอากาศ และไส้กรองอากาศ ![]() 3.ถอด Air Mass Sensor ![]() 4.ถอดท่อข้ามเครื่อง ![]() 5.ถอด Air Temp. Sensor หลังจากท่อข้ามเครื่องหลุดจากไอเดิลฯจะง่ายขึ้น ![]() ครั้งนี้ไม่ได้เปลี่ยน Air Temp. Sensor แค่ถอดออกมาใช้ Contact Cleaner ฉีด ทำความสะอาดเท่านั้น เผื่อบางท่านอยากรู้ Part No. เอารูปมาลงให้ดู ![]() 6.ถอดฝาครอบหัวเทียน ![]() เมื่อถอดฝาครอบหัวเทียนออกแล้ว เพื่อป้องกันการสลับสายหัวเทียน จึงเปลี่ยนหัวเทียนทีละสูบ โดยใช้มือดึงที่ขั้วสายโดยดึงขึ้นมาตรงๆ อาจแน่นหน่อยเมื่อหลุดออกมาแล้ว ใช้ลูกบล็อก #16 ด้านในลูกบล็อก จะมีจุกยาง เมื่อหัวเทียนหลุดจากฝาสูบ ลูกยางจะยึดหัวเทียนไว้ สามารถดึงหัวเทียนขึ้นมาโดยง่าย หยิบหัวเทียนใหม่ขึ้นมาสังเกตดูว่า ระยะเขี้ยวหัวเทียนปกติไหม เพราะปกติจะตั้งมาจากโรงงานเรียบร้อยแล้ว หัวเทียนใหม่ระยะเขี้ยวจะชิดกับแกนหัวเทียน มากกว่าหัวเทียนเก่าเล็กน้อย เมื่อนำมาเทียบกัน นำหัวเทียนใหม่ใส่ลูกบล็อกพร้อมด้ามต่อ ใช้มือหมุนเข้าให้สุดเกลียวก่อน จึงใช้ด้ามขันฟรีขันให้แน่น ก่อนใส่ปลั๊กสายหัวเทียนใช้ซิลิโคนสเปรย์ฉีด บริเวณรูยางเล็กน้อย ดึงปลั๊กหัวเทียนครั้งหน้าจะได้ไม่ต้องออกแรงเยอะ หัวเทียนที่เปลี่ยนใช้แบบเดิมๆ ซึ่งถูกและดีอยู่แล้ว ![]() สภาพหัวเทียนเก่า ![]() . Last edited by Mr.Lo; 30-11-2017 at 11:27:11 PM. |
![]() |
![]() |
คำขอบคุณจาก : |
![]() |
#37 |
Join Date: Sep 2010
Posts: 1,112
Thanks: 2,218
Thanked 1,183 Times in 533 Posts
|
![]()
เมื่อเปลี่ยนหัวเทียนครบทุกสูบ ใส่ฝาครอบหัวเทียนแล้ว ก่อนใส่ท่อข้ามเครื่อง
ผมใช้สเปรย์ทำความสะอาดลิ้นปีกผีเสื้อ ฉีดบริเวณลิ้นปีกผีเสื้อของไอเดิลฯ ถ้าไปที่อู่ช่างอาจถอดทั้งชุดไอเดิลฯมาล้างด้วยน้ำมั นเบนซิน สำหรับ Air Temp. และ Air Mass ผมใช้ Contact Cleaner ฉีดบริเวณ Sensor ก่อนประกอบกลับ ![]() ไส้กรองอากาศทำความสะอาดมาสองครั้ง เปลี่ยนใหม่เลยดีกว่า ![]() เครื่องมือที่ใช้ถอดเปลี่ยนหัวเทียน ![]() ชุดเครื่องมือที่ควรมีไว้ใช้ ![]() ![]() . Last edited by Mr.Lo; 30-11-2017 at 11:05:48 PM. |
![]() |
![]() |
คำขอบคุณจาก : |
![]() |
#38 |
Join Date: May 2012
Posts: 1,478
Thanks: 401
Thanked 2,686 Times in 1,031 Posts
|
![]() |
![]() |
![]() |
คำขอบคุณจาก : |
![]() |
#39 |
Join Date: Sep 2010
Posts: 1,112
Thanks: 2,218
Thanked 1,183 Times in 533 Posts
|
![]()
.
สภาพหัวเทียนถอดจากเครื่องยนต์ทั่วไป ![]() ภาพที่ 1 สภาพหัวเทียนปกติ ฉนวนจะออกสีขาว-ขาวเทา-ขาวเหลือง-หรือขาวน้ำตาล แสดงว่าการเผาไหม้สมบูรณ์ ค่าความร้อนหัวเทียน หรือเบอร์หัวเทียนถูกต้อง ส่วนผสมน้ำมันกับอากาศ, จังหวะการจุดระเบิดถูกต้อง โช๊คอัตโนมัติทำงานถูกต้องขณะเครื่องเย็น ไม่มีคราบเกาะจากน้ำมันเครื่อง และอุณหภูมิสันดาปไม่สูงเกินไป ภาพที่ 2 สภาพมีคราบคาร์บอนเกาะ ฉนวน-แกนอีเล็กโทรด-เขี้ยวหัวเทียน มีคราบเหมือนฝุ่นดำเกาะ แสดงว่าการเผาไหม้ไม่สมบูรณ์ ส่วนผสมน้ำมันกับอากาศไม่ถูกต้อง อาจเกิดจาก หัวฉีดจ่ายเชื้อเพลิงมากเกินไป, กรองอากาศสกปรกหรือตัน, โช๊คอัตโนมัติทำงานผิดปกติขณะเครื่องเย็น, ขับรถช่วงสั้นๆเป็นประจำ, ใช้หัวเทียนเบอร์ไม่ถูกต้อง หรือเบอร์หัวเทียนเย็นไป คราบคาร์บอนที่เกาะอยู่ที่หัวเทียน จะมีสภาพเหมือนถ่านติดไฟแดง ในห้องเผาไหม้ขณะเครื่องยนต์ทำงาน ทำให้เกิดการชิงจุดระเบิดได้ และสตาร์ทติดยากขณะเครื่องเย็น ภาพที่ 3 ยังไม่ได้หามาให้ดูครับ สภาพหัวเทียนแฉะ ไม่แห้งสนิทมีคราบคาร์บอนเหนียวเกาะ เกิดจากมีน้ำมันเครื่อง รั่วเข้ากระบอกสูบ อาจเกิดจากแหวนกวาดน้ำมันลูกสูบชำรุด-เติมน้ำมันเครื่องมากเกินไป หรือรั่วเข้าทางปลอกวาวล์ฝาสูบ สภาพหัวเทียนอื่นๆสามารถศึกษาเพิ่มเติมได้จากลิ้งค์ข ้างล่าง https://www.pakwheels.com/forums/t/w...olutions/64065 หรือดาวน์โหลดเป็นไฟล์ PDF ตามลิ้งค์ข้างล่าง https://www.boschautoparts.com/docum...2-1dadd0d5def6 . Last edited by Mr.Lo; 30-11-2017 at 11:01:50 PM. |
![]() |
![]() |
![]() |
#40 |
Join Date: Sep 2010
Posts: 1,112
Thanks: 2,218
Thanked 1,183 Times in 533 Posts
|
![]() ![]() การเลือกใช้น้ำมันเครื่อง (Motor Oil) นั่งคิดอยู่นานว่าจะเขียนยังไงดี ตัดสินใจว่าใช้ภาษาเขียนแบบบ้านๆดีที่สุด น้ำมันเครื่องที่เหมาะกับเครื่องยนต์ของเรานั้น ให้ดูคู่มือรถยนต์เป็นสำคัญ ซึ่งจะอ้างอิงมาตรฐานผู้ผลิต เช่น Mercedes Benz 229.1, 229.3, 229.5 เป็นต้น ขณะเดียวกันอ้างอิงตามมาตรฐานสากล เช่น API, ACEA, ILSAC บ้านเราจะคุ้นกับมาตรฐาน API (American Petroleum Institute) ซึ่งแบ่งน้ำมันเครื่องตามประเภทเครื่องยนต์ออกเป็น 2 กลุ่มคือ 1.เครื่องยนต์เบนซิน มาตรฐานใช้อักษร S นำหน้าเช่น SF, SL, SM, ล่าสุดคือ SN 2.เครื่องยนต์ดีเซล มาตรฐานใช้อักษร C นำหน้าเช่น CH-4, CI-4, CJ-4, ล่าสุด CK-4 โดยทั่วไปมาตรฐานล่าสุด สามารถใช้ได้กับเครื่องยนต์รุ่นเก่าทั้งเบนซินและดีเ ซล อาจมีข้อยกเว้นสำหรับเครื่องยนต์ดีเซลขนาดใหญ่ใช้งาน หนัก ที่ควรใช้ตามที่ผู้ผลิต แนะนำ เพราะมาตรฐานใหม่จะเน้นเรื่องสิ่งแวดล้อม และการประหยัดพลังงานพลังงาน เลือกน้ำมันเครื่องความหนืดแบบไหนดี ความหนืดที่เราคุ้นเคยคือ SAE (Society of Automotive Engineers) Standard ความหนืดน้ำมันเครื่องแบ่งเป็น 2 อย่างคือ Single Grade และ Multi Grade จะกล่าวเฉพาะแบบ Multi Grade เพราะใช้กันแพร่หลายในปัจจุบัน จุดประสงค์น้ำมันเครื่องมัลติเกรด ผลิตขึ้นมาเพื่อใช้ในทุกสภาพอากาศของท้องถิ่น ตั้งแต่หน้าหนาวจนถึงหน้าร้อน ในบางประเทศอุณหภูมิในแต่ละฤดูแตกต่างกันมาก สมัยก่อนที่ยังไม่มีน้ำมันเครื่องมัลติเกรด หน้าหนาวใช้น้ำมันเครื่องใสหน่อย พอเข้าหน้าร้อนต้องเปลี่ยนใช้น้ำมันเครื่องข้นหน่อย น้ำมันเครื่องมัลติเกรด เลือกความหนืดเบอร์อะไรดี ![]() 15W40, 10W40, 5W40, 0W40 ตัวอย่างข้างต้นเป็นน้ำมันเครื่องที่มีขายทั่วไป ตัวเลขหลังอักษร W คือเลข 40 บอกความหนืดน้ำมันเครื่อง สำหรับอากาศหน้าร้อน ส่วนตัวเลขหน้าอักษร W ตัวเลขจะบอกความหนืดน้ำมันเครื่อง สำหรับอากาศหน้าหนาว ตัวเลขหน้าอักษร W น้อยจะเหมาะสมใช้งานในสภาพอากาศที่หนาวกว่า เขียนให้เข้าใจง่ายๆคือ ความหนืดหรือความข้นใส เปลี่ยนแปลงตามอุณหภูมิ มากหรือน้อย เช่น 15W40 ที่อุณหภูมิอากาศภายนอก 0 C น้ำมันจะหนืดกว่า 0W40 ตัวเลขหน้า W สำคัญมากสำหรับรถใช้ในเมืองหนาว ขณะสตาร์ทครั้งแรกในตอนเช้า หากน้ำมันหนืดมากจะสตาร์ทติดยาก น้ำมันหล่อลื่นจะถูกส่งไปส่วนต่างในเครื่องยนต์ ช้ากว่าเมื่อเทียบกับน้ำมันที่หนืดน้อยกว่า แม้เป็นเวลาเสี้ยววินาทีก็มีผลกับประสิทธิภาพ การหล่อลื่น ตลอดจนการสึกหรอของชิ้นส่วนภายในเครื่องยนต์ สำหรับบ้านเราตัวเลขหน้า W อาจไม่สำคัญนัก แต่มันพอจะบอกถึงคุณภาพ Base Oil ที่นำมาใช้ผลิตเป็นน้ำมันเครื่อง สังเกตได้ว่าน้ำมันเครื่องตัวเลขหน้าอักษร W ยิ่งต่ำ ราคาจะแพงกว่า เช่น 0W40 ราคาจะแพงกว่า 10W40 สรุปวิธีเลือกเบื้องต้น 1.เลือกน้ำมันเครื่องให้เหมาะกับประเภทเครื่องยนต์คื อเบนซิน หรือดีเซล 2.ใช้มาตรฐานน้ำมันเครื่อง และความหนืดตามที่ผู้ผลิตแนะนำ คือตัวเลขหลังตัวอักษร W ส่วนตัวเลขหน้าอักษร W ไม่สำคัญสำหรับ อากาศบ้านเรา แต่เป็นตัวบอกคุณภาพน้ำมันเครื่องได้ระดับหนึ่ง มาตรฐานใหม่สุด เช่น SN จะใช้ได้กับเครื่องยนต์เบนซินรุ่นเก่าทุกรุ่น 3.ไม่ควรใช้น้ำมันความหนืดน้อยกว่า หรือมากกว่าที่ผู้ผลิตแนะนำ เพราะว่าเครื่องยนต์รุ่นใหม่ได้พัฒนาไปมากในทุกๆด้าน จึงสามารถใช้ น้ำมันหล่อลื่นที่ความหนืดต่ำกว่าเครื่องยนต์รุ่นเก่ า เน้นประหยัดเชื้อเพลิง มีกรณีเดียวที่เครื่องยนต์หลวมไม่มีกำลังอัด ต้องการใช้รถยนต์ต่อไปสักพัก อาจเลือกใช้น้ำมันเครื่องที่หนืดขึ้นสักหนึ่งเบอร์ การเลือกใช้น้ำมันเครื่องแบบธรรมดา, กึ่งสังเคราะห์, สังเคราะห์ 100 % จะเขียนในรายละเอียดตอนต่อไป |
![]() |
![]() |
คำขอบคุณจาก : |
![]() |
#41 |
Join Date: Sep 2010
Posts: 1,112
Thanks: 2,218
Thanked 1,183 Times in 533 Posts
|
![]()
.
น้ำมันเครื่องประกอบด้วยอะไร ![]() น้ำมันเครื่องทุกชนิด จะประกอบด้วย Base Oil 85% + Additive 15% (โดยประมาณ) กลุ่ม Base Oil ที่นำมาผลิตน้ำมันเครื่อง จะเป็นตัวหลักกำหนดคุณภาพน้ำมันเครื่อง API ได้แบ่ง Base Oil ออกเป็น 5 กลุ่ม ดังนี้ ![]() กลุ่มที่ 1 และ 2 ได้จากน้ำมันปิโตรเลียม (Mineral Base Oil) กลุ่มที่ 3 ได้จากการนำ Mineral Base Oil สองกลุ่มแรก นำมาผ่านกรรมวิธี Hydro Cracking คุณสมบัติจะเหมือนกับน้ำมันในกลุ่มที่ 2 ต่างกันที่ Base Oil จะมีค่าดรรชนีความหนืด (Viscosity Index) ที่สูงกว่า เมื่อผลิตเป็นน้ำมันเครื่อง จะมีช่วงอุณหภูมิใช้งานที่กว้างกว่าสองกลุ่มแรก กลุ่มที่ 4 ได้จากสาร Alpha-olefin สังเคราะห์เป็น Polyalphaolefines (PAO) มีคุณสมบัติที่ดีกว่า Mineral Base Oil ในกลุ่มที่ 1 3 กลุ่มที่ 5 ได้จากการสังเคราะห์เคมีอื่นๆ ที่ไม่จัดอยู่ในกลุ่มที่ 1 ถึง 4 ที่นิยมนำมาใช้เป็น Base Oil คือ Ester คุณสมบัติ Synthetic Base Oil ที่นำมาผลิตสารหล่อลื่น (Lubricants) Polyalphaolefins และ Diesters เป็นที่นิยมนำมาผลิตน้ำมันเครื่องในปัจจุบัน ![]() . |
![]() |
![]() |
คำขอบคุณจาก : |
![]() |
#42 |
Join Date: Sep 2010
Posts: 1,112
Thanks: 2,218
Thanked 1,183 Times in 533 Posts
|
![]()
.
แต่ดั้งเดิมนั้นคำว่า Synthetic Base Oil จะหมายถึง Base Oil ในกลุ่ม 4 และ 5 จนถึงปี ค.ศ.1997 บริษัทผู้ผลิตน้ำมันเครื่องชั้นนำ ชนะคดีความให้สามารถ ใช้คำว่า Full Synthetic กับน้ำมันเครื่องที่ผลิตจาก Base Oil ในกลุ่ม 3 ไม่จำเป็นต้องเป็น PAO (Base Oil ในกลุ่ม 4) ดังนั้นน้ำมันเครื่อง Base Oil กลุ่ม 3 สามารถใช้คำว่า Full Synthetic บนฉลากสินค้า วางตลาดขายในตลาดอเมริกา ส่วนประเทศเยอรมัน และญี่ปุ่น ยังไม่ยอมรับกับ การจัด Base Oil กลุ่ม 3 อยู่ในหมวดของ synthetic สำหรับประเทศไทย กรมธุรกิจพลังงาน พิจารณาให้น้ำมันเครื่องใช้ Base Oil กลุ่ม 3 ใช้คำว่า synthetic ได้ น้ำมันเครื่องส่วนใหญ่จะไม่บอกประเภทของ Base Oil ดังนั้นหากต้องการน้ำมันเครื่องคุณภาพสูง ที่เป็น PAO หรือ Ester เราควรที่จะ พิจารณาความคุ้มค่า กับราคาที่ต้องจ่ายไป น้ำมันเครื่องปัจจุบันมาตรฐาน API สูงกว่าเดิม เพียงแต่เลือกน้ำมันเครื่องที่มี มาตรฐาน เปลี่ยนกรองน้ำมันเครื่อง ตามที่ผู้ผลิตรถยนต์กำหนดก็เพียงพอแล้ว น้ำมันเครื่องธรรมดาอายุการใช้งาน แม้ว่าสั้นกว่าน้ำมันเครื่องสังเคราะห์ แต่อาจคุ้มค่ากว่าเมื่อคิดถึงราคาที่ต้องจ่ายไป กับการใช้งานในชีวิตประจำวัน สำหรับท่านที่ต้องการศึกษารายละเอียดเพิ่มเติม สามารถเข้าไปในลิ้งค์ที่อ้างอิงด้านล่าง http://www.machinerylubrication.com/...ose-engine-oil http://www.machinerylubrication.com/...oil-technology http://www.machinerylubrication.com/...l-formulations http://autoviews.blogspot.com/2007/1...etic-oils.html https://en.wikipedia.org/wiki/Motor_oil http://www.doeb.go.th/v5/show_km.php?tid=3 . |
![]() |
![]() |
คำขอบคุณจาก : |
![]() |
#43 |
Join Date: Sep 2010
Posts: 1,112
Thanks: 2,218
Thanked 1,183 Times in 533 Posts
|
![]() ![]() ปกติเวลาหมุนเปิดสวิทซ์ไฟหน้า จังหวะแรกเปิดไฟหรี่ จังหวะที่สองเปิดไฟใหญ่ หากจังหวะการหมุนลูกบิดไม่เหมือนเดิม ต้องขยับช่วยให้ไฟหรี่ หรือไฟใหญ่ติด ควรรีบเปลี่ยนสวิทซ์ฯ เพราะถ้าเปิดไม่ติดขณะขับกลางคืนอันตรายครับ สวิทซ์ไฟหน้าเคยซื้อของมือสองมาเปลี่ยนครั้งหนึ่งแล้ ว ใช้งานได้ไม่นานก็เสีย สวิทซ์ของใหม่หลังวัดโสมฯ ราคาพันกว่าบาท กับสองพันกว่าบาท คนขายบอกถ้าใช้เองก็เอาอันแพงไป ก็เชื่อคนขายครับซื้ออันแพงมาเปลี่ยนเอง ใช้งานมาปีกว่ายังใช้งานดีอยู่ สังเกตว่าสวิทซ์ที่ซื้อมาใหม่เป็นของ Italy มีขั้วเสียบ มากกว่าของเดิมสองขั้ว แต่เสียบเข้ากับขั้วเดิมของรถได้ และใช้งานไม่มีปัญหา เปรียบเทียบสวิทซ์ไฟหน้าเดิมกับของใหม่ ![]() สมาชิกหากต้องเปลี่ยนอุปกรณ์ชิ้นนี้ แนะนำให้ซื้อของใหม่ครับ เห็นว่าวิธีการเปลี่ยนอาจเป็นประโยชน์กับสมาชิกบางท่ านที่มีเวลา ชอบที่จะทำด้วยตัวเอง จึงเขียนลำดับขั้นตอนไว้ในห้องสมุด รายละเอียดสามารถ คลิ๊กเข้าไปดูตามลิ้งค์ข้างล่าง http://www.benzowner.net/forum/showt...d=1#post917941 . |
![]() |
![]() |
คำขอบคุณจาก : |
![]() |
#45 |
Join Date: Sep 2010
Posts: 1,112
Thanks: 2,218
Thanked 1,183 Times in 533 Posts
|
![]()
ใช้กล้องมือถือ Samsung Note 5
แต่งภาพด้วย โปรแกรม PhotoScape เป็นโปรแกรมฟรีในเน็ต ใช้แต่ของธรรมดาครับ |
![]() |
![]() |
คำขอบคุณจาก : |
![]() |
#46 |
Join Date: Sep 2010
Posts: 1,112
Thanks: 2,218
Thanked 1,183 Times in 533 Posts
|
![]()
เติมลมยางเท่าไหร่ดี เมื่อเปลี่ยนขนาดยาง
แรงดันลมยางมาตรฐานสำหรับ W124 E220 ![]() สติ๊กเกอร์ติดอยู่ด้านในฝาปิดถังน้ำมันรถ W124 E220 ปี 94 ![]() ข้อความภาษาอังกฤษ ด้านบนซ้ายบรรทัดที่สอง Tire pressure cold tires เป็นค่าแรงดันลมยางแนะนำ ขณะยางเย็น ให้เติมลมล้อหน้า-หลัง ตามจำนวนคนและสัมภาระที่บรรทุก แสดงเป็นรูปสัญลักษณ์ดูแล้วเข้าใจง่ายดี ด้านล่างซ้ายข้อความ Warm tires up to + 0.3 bar / + 4 psi ถ้าเติมลมยางขณะยางเริ่มร้อน ให้เพิ่มแรงดันจากค่าที่แนะนำอีก 4 psi คำจำกัดความว่า ยางเย็น หมายถึงรถจอดนานกว่า 3 ชั่วโมง หรือขับรถ เป็นระยะทางไม่เกิน 1.6 ก.ม. ด้วยความเร็วปานกลาง แต่คนส่วนใหญ่จะเติมลมยาง ที่ร้านยางหรือปั้มน้ำมัน ดังนั้นอย่าลืมเพิ่มแรงดันจากค่าแนะนำอีก 3 4 psi มาตรฐานยางที่ใช้กันทั่วไปมี 4 แบบ แต่ที่นิยมใช้ในบ้านเราคือ ISO Metric ![]() ![]() อักษรกำกับความเร็วสูงสุดของยาง ![]() เมื่อเปลี่ยนยางใหม่ ควรใช้ยางที่มีมาตรฐาน Load Index และ Speed Index ไม่ต่ำกว่ายางเดิมที่ผู้ผลิตรถยนต์กำหนด เช่นเปลี่ยนขนาดล้อใหญ่กว่าเดิม เลือกใช้ยางขนาด 205/55R16 91V จากตารางข้างล่าง Load Index 91 แรงดันลมยาง 29 psi สามารถรับน้ำหนัก 1,135 lb หรือ 515 kg แรงดันลมยาง 36 psi สามารถรับน้ำหนัก 1,356 lb หรือ 615 kg ![]() ![]() เราสามารถตรวจสอบน้ำหนักรวมสูงสุด (Permissible total weight) ที่ผู้ผลิตออกแบบไว้ได้จาก Name Plate บริเวณคานหน้าหม้อน้ำ ![]() จากข้อมูลข้างบนใต้บรรทัด Vin Code Permissible total weight 1,940 kg (น้ำหนักรวมสูงสุด) Permissible axle load, axle 1 925 kg (น้ำหนักสูงสุดล้อคู่หน้ารับได้) Permissible axle load, axle 2 1,015 kg (น้ำหนักสูงสุดล้อคู่หลังรับได้) ดังนั้นล้อหน้ารับน้ำหนักสูงสุดข้างละ 462.5 kg ดังนั้นล้อหลังรับน้ำหนักสูงสุดข้างละ 507.5 kg น้ำหนักรถ W124 E220 รวมอุปกรณ์มาตรฐาน (Curb weight) ของรถรุ่นนี้อยู่ที่ 1,370 kg น้ำหนักคนและสัมภาระสูงสุดคือ 570 kg ดังนั้นหากใช้ยางที่มี Load Index 91 เติมลมยาง 29 psi ทั้งสี่ล้อ รับน้ำหนักบรรทุกสูงสุด และความเร็วสูงสุดได้แน่นอน ผู้ใช้สามารถเติมแรงดันลมยางที่เหมาะสม กับการใช้งานประจำวัน โดยอาศัยข้อมูลยางมาประกอบการพิจารณา มาตรฐาน ISO Metric สำหรับยางรถยนต์ที่รับน้ำหนักได้สูงกว่าปกติทั่วไป จะมีพิมพ์ไว้ที่แก้มยาง Reinforced หรือ XL (Extra Load) ไม่สามารถใช้ตาราง Load Index ข้างบนได้ ต้องใช้ตารางแยกต่างหาก ท่านที่สนใจต้องการข้อมูล Load Index สำหรับมาตรฐาน ISO Metric Reinforced, P-Metric, LT-Metric, และ Flotation สามารถดูได้จากลิ้งค์ข้างล่าง https://toyo-arhxo0vh6d1oh9i0c.stack...s_20170203.pdf . Last edited by Mr.Lo; 16-05-2018 at 08:52:49 PM. |
![]() |
![]() |
![]() |
#47 |
Join Date: Sep 2010
Posts: 1,112
Thanks: 2,218
Thanked 1,183 Times in 533 Posts
|
![]()
.
เติมลมยางแข็งไปหรืออ่อนไปมีผลกับการสึกหน้ายาง ![]() การเติมลมยางไม่เหมาะสม นอกจากมีผลให้หน้ายางสึกหรอไม่เท่ากันแล้ว ทำให้อายุการใช้งานสั้นลง ลดประสิทธิภาพการควบคุมขณะขับรวมถึงความปลอดภัย ยางสึกด้านในด้านหนึ่งมากผิดปกติ เกิดจากศูนย์ล้อไม่ถูกต้อง ![]() ![]() อายุการใช้งานของยาง ส่วนใหญ่ผู้ผลิตจะแนะนำให้ใช้งานไม่เกิน 6 ปี นับจากวันที่ผลิต แม้ว่าจะเป็นยางใหม่ไม่เคยใช้งานก็ตาม The Department of Transportation ( DOT ) ของสหรัฐอเมริกา กำหนดให้ยางที่ขายในสหรัฐฯ ต้องระบุโรงงานที่ผลิต รายละเอียดยาง ตลอดจนวันที่ผลิต ที่ด้านข้างของยางเป็นรหัสสำหรับตรวจสอบ ตัวเลข 4 ตัวสุดท้ายจะบอกอาทิตย์และปีที่ผลิต ![]() ![]() ยางที่ใช้งานดอกยางจะสึกและประสิทธิภาพการเกาะถนนจะล ดลงเป็นลำดับ แต่ผู้ผลิตจะทำปุ่มในร่องยาง ให้ผู้ใช้สังเกตเมื่อใดยางสึกเสมอกับปุ่มนี้ ควรเปลี่ยนยางเพื่อความปลอดภัย ![]() . |
![]() |
![]() |
![]() |
#48 |
Join Date: Sep 2010
Posts: 1,112
Thanks: 2,218
Thanked 1,183 Times in 533 Posts
|
![]()
.
สิ่งหนึ่งที่น่าเป็นห่วง คือมีคนเห็นแก่ได้นำยางเก่าไปแกะดอกยางใหม่หรือแก้ไข วันที่ผลิตยางเสียใหม่ บุกจับร้านปลอมยาง สาธิตวิธีแกะดอกยาง อ้างอิง https://en.wikipedia.org/wiki/Tire_code http://www.tiresafetygroup.com/tires...-in-six-years/ https://www.michelin.co.th/TH/th/why...arranties.html . |
![]() |
![]() |
![]() |
#49 |
Join Date: Sep 2010
Posts: 1,112
Thanks: 2,218
Thanked 1,183 Times in 533 Posts
|
![]()
ปกติยางใบปัดน้ำน้ำฝน ควรเปลี่ยนทุกปีเมื่อเข้าหน้าฝน
สะดวกที่สุด คือเปลี่ยนพร้อมโครงมียางใบปัดฯมาพร้อมเสร็จ แต่หากโครงเก่ายังดี เราสามารถเปลี่ยนเฉพาะยางใบปัดเพียงอย่างเดียว ยางใบปัดน้ำฝนของ W124 ใช้เพียงเส้นเดียวความยาว 61.5 62 ซ.ม. ผมซื้อยางใบปัดยี่ห้อ SWF จากร้านขายอะไหล่แถววัดโสมฯ ราคาเฉพาะยาง จะถูกกว่ายางใบปัดพร้อมโครงสามสี่เท่าตัว ลักษณะยางใบปัดจะเคลือบด้วย ผงดำๆเหมือนถ่าน นิ้วที่จับจะติดคราบดำๆ สารที่เคลือบน่าจะใช้เพื่อหล่อลื่น ระหว่างผิวสัมผัสกระจกกับยาง หากร้านที่ขายเฉพาะยางใบปัดฯทั่วไป มีขนาดความยาวข้างต้น ก็น่าจะใช้ได้เหมือนกัน เครื่องมือที่ใช้คือคีมปากจิ้งจก กับหนังสติ๊กสักสามเส้น ลำดับการเปลี่ยนดังต่อไปนี้ 1.ยกก้านปัดน้ำฝนขึ้น ใช้นิ้วกดปลดล๊อคโครงใบปัดน้ำฝน ![]() ![]() ![]() 2.ดันโครงใบปัดน้ำฝนไปทางขวามือ ยกโครงฯออกมา ![]() ![]() ![]() . Last edited by Mr.Lo; 17-06-2018 at 06:55:26 PM. Reason: แก้ไขคำผิด |
![]() |
![]() |
![]() |
#50 |
Join Date: Sep 2010
Posts: 1,112
Thanks: 2,218
Thanked 1,183 Times in 533 Posts
|
![]()
3.ดึงยางปัดน้ำฝนเก่าออกจากโครงฯ โดยใช้คีมปากจิ้งจกบีบบริเวณยาง
ด้านที่มีร่องยางยึดกับโครงใบปัดฯ ออกแรงดึงเล็กน้อยให้หลุดจากเขี้ยวยึด ยางปัดน้ำฝนจะหลุดออกมาพร้อมกับก้านประคองยางฯ ![]() ![]() 4.นำก้านประคองยางเดิม ประกบใส่ยางปัดน้ำฝนใหม่สังเกตให้เขี้ยวก้านลงล๊อค การประกบก้านประคองกับยางปัดน้ำฝน ใช้หนังสติ๊กรัดบริเวณเขี้ยวล๊อคก้านกับยาง จัดก้านให้อยู่ในร่องของมัน ใช้หนังสติ๊กรัดเป็นช่วงเพื่อสะดวกขณะสอดเข้าโครง สังเกตให้โครงอยู่ในร่องที่ถูกต้องแล้วดึงหนังสติ๊กอ อก เมื่อสอดยางปัดน้ำฝนเกือบสุด ก่อนดึงยางฯให้เข้าล๊อค ควรตรวจสอบอีกครั้ง ว่าโครงฯอยู่ในร่องยางถูกต้อง ค่อยใช้มือดึงยางฯให้เข้าล๊อค ![]() 5.นำโครงฯที่ใส่ยางฯแล้ว ยึดกับก้านปัดน้ำฝน ![]() ![]() ![]() การปรับมุมฉีดน้ำล้างกระจก เมื่อเปลี่ยนยางปัดน้ำฝน ควรดูหัวฉีดน้ำล้างกระจก ว่าฉีดออกสะดวกหรือไม่ ถ้ามีอาการหัวฉีดตันใช้เข็มเย็บผ้าแยง ถ้าตีบมากอาจใช้ลวดทองแดงสายไฟก็ได้ หลายคันมุมฉีดน้ำเปลี่ยนไป ให้ใช้เข็มขนาดพอดีกับรูฉีดโยกปรับมุมฉีด การมาร์คตำแหน่งใช้เทปลบคำผิด จะสะดวกกว่าเวลาใบปัดน้ำฝนทำงานจะไม่หลุดลอก เมื่อปรับตั้งเสร็จเรียบร้อย ค่อยใช้เล็บขูดเบาๆก็ออกหมดครับ ![]() เครดิตภาพการปรับมุมฉีดน้ำล้างกระจกจาก: คุณ M@cGyVer http://www.benzowner.net/forum/showthread.php?t=44625 . Last edited by Mr.Lo; 17-06-2018 at 06:57:25 PM. |
![]() |
![]() |
![]() |
#51 |
Join Date: Sep 2010
Posts: 1,112
Thanks: 2,218
Thanked 1,183 Times in 533 Posts
|
![]()
Unsprung Weight คือน้ำหนักที่อยู่ใต้สปริง
ประกอบด้วยล้อ, ยาง, ปีกนก, จานเบรก, คาลิปเปอร์เบรก เป็นต้น ความสำคัญของ unsprung weight การลด Unsprung Weight เพื่อลดภาระการทำงานของช่วงล่าง ลดความถี่การเคลื่อนที่ขึ้นลง ของ โช๊คอัพ สปริง ล้อ ปีกนก ตลอดจนชิ้นส่วนที่เกี่ยวเนื่องให้ทำงานน้อยลง ยางสัมผัสกับผิว ถนนได้ดีขึ้นกว่าเดิม ทำให้ควบคุมรถได้ดีขึ้น แรงสะเทือนจากล้อลดลง ประสิทธิภาพเบรกดีขึ้น ผลพลอยได้คือรถออกตัวไวขึ้น และประหยัดเชื้อเพลิงกว่าเดิม การลด Unsprung Weight ที่นิยมทำกันทั่วไปคือเปลี่ยนไปใช้ล้อ Forged , คาลิปเปอร์เบรคอลูมิเนียม, หมวกจานเบรคอลูมิเนียม, ปีกนกอลูมิเนียม เป็นต้น ปัจจุบันรถสมรรถณะสูง เช่น Porsche ได้พัฒนาล้อผลิตจาก braided carbon fibre สำหรับรถรุ่น New 911 Turbo S Exclusive Series ให้เบาขึ้น 20% และแข็งแรงขึ้น 20% เมื่อเทียบกับล้อมาตรฐานเดิมออกจากโรงงาน เป็นอ๊อปชั่นให้ลูกค้าเลือกเพื่อลด unsprung weight เพิ่มสมรรถณะให้รถ แต่ต้องแลกกับราคาที่เพิ่มขึ้นสำหรับล้อสี่วงแพงแค่ไ หน ลองอ่านรายละเอียด จากลิ้งค์ข้างล่าง https://www.compositesworld.com/blog...on-fiber-wheel การเพิ่มสมรรถนะรถให้แรงขึ้นโดยการเปลี่ยนเครื่องยนต ์ให้ใหญ่ขึ้น เป็นวิธีที่นิยมกันมาก เพราะเห็นผลชัดเจน เมื่อรถแรงขึ้นจึงต้องปรับปรุงเบรก ช่วงล่าง และล้อให้ใหญ่ตามขึ้นไปด้วย แต่หลายๆท่านลืมนึกถึงเรื่อง unsprung weight แทนที่จะลดน้ำหนัก กลับเพิ่มน้ำหนัก ทำให้ช่วงล่างภาระหนักกว่าเดิม ขับรถรับรู้ถึงความกระด้างมากขึ้น ฟิลลิ่งการขับเปลี่ยนไป หากท่านจะเปลี่ยนล้อ ให้ลองพิจรณาล้อ Forged ทั้งขนาดและน้ำหนักที่เหมาะสม หรือปรับปรุงเบรกให้ใหญ่ขึ้นใช้คาลิปเปอร์อลูมิเนียม + จานเบรกที่เบาขึ้น ทำให้รถควบคุม ได้ดีขึ้น แต่ต้องแลกกับค่าใช้จ่ายที่สูงกว่า เมื่อเปรียบเทียบกับการใช้ล้อน้ำหนักมาก ใช้ชุดเบรกจากรถรุ่นใหญ่ที่หนักกว่าของเดิม เงินที่ประหยัดได้แลกกับ รถที่กระด้างขึ้น ช่วงล่างทำงานหนักขึ้น อายุการใช้งานสั้นลง การพิจรณาขึ้นอยู่กับดุลพินิจ และงบประมาณของแต่ละท่าน การปรับปรุงล้อและเบรกใน W124 ให้ดีขึ้นแบบประหยัดจะเขียนในตอนต่อไปครับ Last edited by Mr.Lo; 03-09-2018 at 09:36:15 PM. |
![]() |
![]() |
คำขอบคุณจาก : |
![]() |
#52 |
Join Date: Jun 2016
Location: BANGNA
Posts: 46
Thanks: 0
Thanked 6 Times in 4 Posts
|
![]()
ขอบคุณครับสำหรับข้อมูลดีดี กำลังคิดจะลองกับเบรคใหญ่อยู่ รอติดตามตอนต่อไปครับ
|
![]() |
![]() |
![]() |
#53 |
Join Date: Sep 2010
Posts: 1,112
Thanks: 2,218
Thanked 1,183 Times in 533 Posts
|
![]()
การปรับปรุงล้อ และเบรกให้ใหญ่ขึ้น ให้พิจรณาน้ำหนักเป็นส่วนประกอบด้วยครับ
ถ้าเบากว่าเดิมได้จะดีมาก ด้วยเหตุผลเรื่อง unsprung weight ที่กล่าวมาแล้วข้างต้น หลายท่านสงสัยพวกคาลิเปอร์พวกยี้ห้อดัง เช่น Brembo, AP Racing ทำไมราคาแพงจัง เมื่อเทียบกับ Aristo ที่ต่างกันชัดเจนคือน้ำหนัก แต่ความสามารถหยุดรถได้พอๆกัน ระยะเบรคที่ต่างกันแม้ว่าไม่มาก สำหรับผม แค่ต่างกันไม่ถึงเมตรก็สำคัญแล้ว ถ้าคุณจะเปลี่ยนล้อใหญ่ขึ้น ไม่อยากรถสะเทือนมาก จงเลือกล้อที่เบาที่สุด ขนาดล้อ และน้ำหนักล้อเดิมติดรถ สามารถหาได้จากกระทู้เก่าของคุณ air http://www.benzowner.net/forum/showthread.php?t=58951 ถ้าคุณจะอัพเบรกใหญ่ขึ้น ต้องรู้ว่าจะใช้เครื่องเดิมติดรถ หรือเครื่องใหญ่ขึ้น (แรงขนาดไหน) เช่นจะไป E320, 2J, UZ เพราะอาจต้องใช้คาลิปเปอร์ใหญ่ ล้อขอบ 15 อาจติดต้องไปขอบ 17 ล้อและเบรกควรทำไปพร้อมกันทีเดียว เพราะว่าล้อและชุดเบรกที่ได้มาอาจต้องดัดแปลง ใน BON จะมีแนวทางการอัพเบรก W124 จากสมาชิกเก่าเยอะพอควรลองค้นดูครับ กระทู้เก่าๆเช่น http://www.benzowner.net/forum/showthread.php?t=3932 http://www.benzowner.net/forum/showthread.php?t=53904 หาอู่ที่รับดัดแปลงติดตั้ง ควรมีความชำนาญ ให้คำปรึกษาได้เหมาะกับงบประมาณของเรา สรุปจงเลือกล้อ, คาลิปเปอร์, จานเบรก ที่เบาที่สุดเท่าที่คุณจ่ายได้ ตอนต่อไปจะแนะนำล้อและเบรก สำหรับ E220 แบบดี และถูก |
![]() |
![]() |
![]() |
#54 |
Join Date: Sep 2010
Posts: 1,112
Thanks: 2,218
Thanked 1,183 Times in 533 Posts
|
![]()
อัพเบรกให้กับ W124 E220 ก็ได้ไอเดีย ข้อมูลจากสมาชิก BON ที่เอื้อเฟื้อ
รีวิวให้ฟังกันอีกรอบ ถึงแม้จะไม่ใช่สเป็คดีที่สุด แต่ดีกว่าเดิมแน่นอน และลงทุนไม่มาก จุดประสงค์ที่ทำคือต้องการเบรกให้ดีขึ้นกว่เดิม จากข้อมูลที่ค้นหาใน BON สรุปได้ว่า คาลิปเปอร์ขนาดไม่ใหญ่และหนักเกินไป นำมาใส่ได้เลย ไม่ต้องดัดแปลง ไม่ติดกะทะล้อเดิม ควรเป็นชุดคาลิปเปอร์ 4 พอร์ต พร้อมจานขนาด 294 x 25 มม.จากล้อหน้า W124 E320 ส่วนล้อหลังใช้ชุดคาลิเปอร์ 2 พอร์ต พร้อมจานขนาด 290 x 10 มม. จากล้อหลัง W210 (จานล้อหลัง W210 จะมีขนาด 278 มม.ใส่ในรุ่นแรกๆ) ชุดเบรก-หน้าหลัง ชุดนี้น้ำหนักจะมาก กว่าของเดิมเล็กน้อย สภาพจานเบรกที่ได้มายังหนาอยู่ จากนั้นก็ส่งให้ช่างไปสลับเข้าที่กับของเดิม เนื่องจากเป็นของมือสอง และไม่ได้ถอดจากรถใช้งานประจำ ช่างแนะนำให้เปลี่ยน ชุดซีลยางคาร์ลิปเปอร์ เพื่อความแน่นอนว่าลูกสูบเบรกไม่ติด จานเบรกหลังขึ้นสนิมก็เจียรเฉพาะจานหลัง ผ้าเบรกหน้าสภาพยังดีหนาอยู่ก็ใช้ไปก่อน ส่วนผ้าเบรกหลังผ้าเบรกเป็นมันเงาลื่นๆ จึงตัดสินใจเปลี่ยนไปเลย โดยใช้ผ้าเบรกหลังจาก W140 ซึ่งจะมีพื้นที่สำผัสจานมากกว่าผ้าเบรกในรุ่นเดิม W210 ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() สิ่งที่ควรทำไปพร้อมกัน คือหม้อลมเบรก 2 ชั้นจาก W140 แทนของเดิมชั้นเดียว หม้อลมเบรกที่ใหญ่ขึ้นไม่ได้ทำให้เบรกดีขึ้น แต่ช่วยผ่อนแรงเท้าไม่ต้องออกแรงมากเท่านั้น เนื่องจากชุดเบรคใหม่มันหนักกว่าเดิม อยากชดเชย unsprung weight ที่เพิ่มขึ้น โดยหาล้อเบามาเปลี่ยนแทนของเดิม จะเขียนในตอนต่อไปครับ |
![]() |
![]() |
คำขอบคุณจาก : |
![]() |
#56 |
Join Date: Sep 2010
Posts: 1,112
Thanks: 2,218
Thanked 1,183 Times in 533 Posts
|
![]() |
![]() |
![]() |
คำขอบคุณจาก : |
![]() |
#57 |
Join Date: Mar 2009
Posts: 4,353
Thanks: 3,597
Thanked 9,347 Times in 2,658 Posts
|
![]()
กล้องมือถือสมัยนี้มันถ่ายภาพได้ดีระดับ single lense
ขนาดนี้เลยเหรอ ต่อไป ไม่จำเป็นเรื่องมืออาชีพ กล้องใหญ่เทอะทะหมดความจำเป็นแล้ว ตอนนี้มี มือถือตัวเดียวทำได้ทุกอย่างที่ต้องการ ขอบคุณที่แวะมาบอกเล่าครับ รออ่านเรื่องต่อไปของท่านอยู่ครับ เอาเรื่องวิธี เปลี่ยนยางแท่นเครื่องแท่นเกียร์แบบบ้านๆหน่อย ดีไหมครับ เพื่อทำตามได้ประหยัดตังค์ค่าช่าง ไปอีกพันกว่าบาท การไปอู่แล้วถืออะไหล่ไปเอง เป็นเรื่องบาดหมางใจของช่างอู่ มาก ถึงมากที่สุด เคยเห็นบางคนเอารูปภาพตัวหนังสือของอู่เขียนไว้ มันสแลงใจมาก เช่นรู้ดีกว่าช่างทำเองเลย ยินดีให้ เช่าเครื่องมือ ฯลฯ แต่สำหรับผมตอนนี้ถอดใจแล้ว ยังไงก็ต้องอาศัยอู่ด้วยสุขภาพและวัย แต่ยังอด สนใจเรื่อง DIY ไม่ได้ ยังชอบดูยูทูปและอ่านเวป เกี่ยวกับการซ่อมด้วยตัวเองอยู่ครับ ขอบคุณครับ |
![]() |
![]() |
คำขอบคุณจาก : |
![]() |
#58 |
Join Date: Sep 2010
Posts: 1,112
Thanks: 2,218
Thanked 1,183 Times in 533 Posts
|
![]()
มือถือถ่ายได้ดีระดับหนึ่งเท่านั้นครับ
เหมาะกับการใช้งานทั่วๆไป ไม่จริงจังมากนัก Feature กล้องฯยังด้อยกว่ากล้องจรืงอยู่มากครับ กำลังเรียบเรียงเรื่องล้อเบาอยู่ครับ เรื่องงานซ่อมจริงๆจังๆ ส่วนใหญ่ให้ช่างมืออาชีพเขาทำครับ ยกเว้นบางเรื่องที่เรา อยากทำเองไม่ยุ่งยาก แม้แต่เปลี่ยนยาง ยังเรียกใช้บริการร้านยาง กำลังมันถอยแล้วครับ เดี๋ยวนี้ช่างใช้ประแจลมขันเข้า เราทำด้ามต่อให้มันยาวขึ้น ขันออกยังเหนื่อยเลยครับ ![]() ![]() ![]() |
![]() |
![]() |
![]() |
#59 |
Join Date: Sep 2010
Posts: 1,112
Thanks: 2,218
Thanked 1,183 Times in 533 Posts
|
![]()
เกือบลืมบอกว่าชุดเบรกเก่า W124 E220 ที่ถอดออกมา
นำไปให้เพื่อน อัพเบรกรถลูกชาย W201 190E สลับกับของเดิมได้เลย ไม่ต้องดัดแปลง สลับแล้วใช้งานดีขึ้นกว่าเดิม ให้ไว้เป็นข้อมูลครับ |
![]() |
![]() |
![]() |
#60 |
Join Date: Sep 2010
Posts: 1,112
Thanks: 2,218
Thanked 1,183 Times in 533 Posts
|
![]()
จัดล้อเบาใส่ W124 (ลด Unsprung weight)
คำว่าล้อเบา หมายถึงล้อที่เบากว่าล้อเดิมที่ติดมากับรถจากโรงงานผ ู้ผลิต น้ำหนักล้อและยาง หากเบากว่าของเดิมได้มากเท่าไหร่ยิ่งดี ช่วยลดภาระการทำงานของช่วงล่าง ประสิทธิภาพช่วงล่างยึดเกาะถนนดีขึ้น ช่วยโช๊คอัพลดแรงสะเทือนมายังห้องโดยสารได้ดีกว่าเดิ ม และผลที่ตามมาช่วยลดภาระเครื่องยนต์ ทำให้รถออกตัวดีขึ้น ต้องขอบคุณสมาชิกเก่า BON ที่ได้ค้นคว้าทดสอบ หาล้อที่เบากว่าเดิม-แข็งแรง-ราคาไม่แพง- ดัดแปลงไม่เยอะ-คุ้มค่า คือล้อจากรุ่น W211 CDI ขนาด 7J x 16 ET33 น.น.ล้อเปล่า 6.8 ก.ก. เปรียบเทียบกับล้อเดิมติดรถ W124 ขนาด 7J x 15 น.น.ล้อเปล่า 8.x ก.ก. ซึ่งต่างกันเยอะทีเดียว ล้อลายแปดช่อง W124 ![]() ล้อ W211 CDI 7J x 16 ET33 ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() . |
![]() |
![]() |
คำขอบคุณจาก : |
![]() |
Thread Tools | Search this Thread |
Display Modes | |
|
|